ความรุนแรงของอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส และผลกระทบต่อสุขภาพ
ความรุนแรงของอาการเหล่านี้มากน้อยขึ้นกับปริมาณน้ำตาลแลคโตสที่ได้รับ และความสามารถของร่างกายที่ย่อยน้ำตาลได้ซึ่งแตกต่างไปในแต่ละคน บางคนอาจมีอาการเพียงท้องอืดเท่านั้น ในขณะที่บางคนมีอาการถ่ายเหลวท้องเสียเป็นน้ำ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตสจะไม่ใช่ขาดเอนไซม์จนเป็นศูนย์ จึงสามารถย่อยแลคโตสได้ในระดับหนึ่ง โดยทั่วไปจะทนได้ประมาณ 12 กรัม ซึ่งก็คือประมาณนม 1 แก้ว (250 ml)
แต่อย่างไรก็ตาม อาการแพ้น้ำตาลแลคโตสไม่ใช่โรคเดียวกับแพ้นมวัว อาการแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose intolerance) เป็นจากการย่อยน้ำตาลในนมไม่ได้ และเป็นอาการที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร โดยจะมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ซึ่งพบมากในผู้ใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ตรงกันข้าม อาการแพ้นมวัว (Cow’s milk allergy) ซึ่งเป็นการเกิดปฎิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโปรตีนในนมวัว ซึ่งมักเป็นในเด็กเล็ก อาการมีได้หลายแบบ เช่น ผื่นเรื้อรัง ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด มีน้ำมูกเรื้อรัง หรือหอบหืด เป็นต้น
โดยผลกระทบต่อสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากการแพ้น้ำตาลแลคโตส คือ ในผู้ที่ไม่สามารถดื่มนมได้ อาจทำให้ได้รับแคลเซียมหรือวิตามินดี ไม่เพียงพอ เพราะนมถือเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลายอย่าง ทั้ง โปรตีน วิตามิน และแคลเซียม ซึ่งหากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งส่งผลให้กระดูกหักง่ายกว่าปกติโดยเฉพาะในคนสูงอายุ และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ปริมาณแคลเซียมที่ผู้ใหญ่ควรได้รับในแต่ละวันคือ 1000-1200 มิลลิกรัม และไม่เกิน 2000-2500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยวิตามินดีเป็นปัจจัยช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้มากขึ้นที่ลำไส้